วันศุกร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ระเบียบปฏิบัติในการบันทึกเวชระเบียน

ระเบียบปฏิบัติในการบันทึกเวชระเบียน( ปรับปรุง 07/02/54)

เวชระเบียนเป็นเอกสารที่มีความสำคัญในการบริการทางการแพทย์   ประโยชน์ของเวชระเบียน มีดังนี้

1.    เป็นหลักฐานทางกฎหมาย
2.    เป็นเครื่องมือในการดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง
3.    เป็นแหล่งข้อมูลในการศึกษาและวิจัย
4.    วิธีในการประเมินคุณภาพของการรักษา
5.    เป็นเครื่องมือสื่อสารระหว่างบุคลากรทางสาธารณสุข
6.    เป็นหลักฐานในการเบิกเงินจากกองทุนต่าง ๆ
แนวทางปฏิบัติในการบันทึกเวชระเบียนผู้ป่วย   มีดังนี้
1.  ผู้ป่วยนอก      ข้อมูลพึงปรากฏในเวชระเบียน  ได้แก่
1.1      อาการสำคัญและประวัติการเจ็บป่วยที่สำคัญ
1.2      ประวัติการแพ้ยา   สารเคมี หรือสารอื่น ๆ
1.3      บันทึกสัญญาณชีพ (Vital  signs)
1.4      ผลการตรวจร่างกายในระบบที่เกี่ยวข้องกับอาการ สิ่งที่ผิดปกติหรือที่มีความสำคัญต่อการวินิจฉัย หรือการให้การรักษาแก่ผู้ป่วย  ควรระบุทั้ง positive และ negative finding  ถ้าไม่ได้ตรวจจริงอย่าลงเครื่องหมายว่าตรวจ (เพราะถ้ามาพบ sign ทีหลังจะไม่รู้ว่าเป็นตั้งแต่เมิ่อไหร่)
1.5      ปัญหาของผู้ป่วย หรือการวินิจฉัยโรค หรือการแยกโรค  ถ้าไม่แน่ใจรหัสโรคควรดูในคู่มือรหัสโรคที่ใช้บ่อยสอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือเจ้าหน้าที่เวชสถิติ
1.6      การสั่งการรักษาพยาบาล
-         การสั่งยาให้ปฏิบัติตามคู่มือการสั่งใช้ยาอย่างเคร่งครัด   และให้บันทึกในHosxpทุกครั้ง
-         การสั่งตรวจทางห้องปฏิบัติการให้ใช้ตัวย่อที่เป็นสากล
-         การนัดหมาย ให้ระบุวัน เดือนปี ที่ต้องการ  หรือ ระบุจำนวนสัปดาห์ ( ถ้าระบุเดือน จะหมายถึงวันตรงกันแต่จำนวนสัปดาห์ จะไม่แน่นอนเช่น 1เดือนอาจเป็น 28 หรือ 35 วัน) การนัดโรคเรื้อรังที่มีคลินิกพิเศษอยู่แล้วต้องตรวจสอบให้ถูกต้องด้วย
1.7      ในกรณีมีการทำหัตถการ  ควรมี
-     บันทึกเหตุผล  ความจำเป็นของการทำหัตถการ
-     การลงนามยินยอมของผู้ป่วยหรือผู้แทนภายหลังที่ได้รับทราบและเข้าใจถึงผลดีและอันตรายที่อาจเกิดจากการทำหัตถการที่สำคัญได้แก่ paracenthesis  LP Excision  หัตถการทางสูตินรีเวช การผ่าตัดใหญ่ทุกชนิด  โดยใบยินยอมต้องมีการอธิบายขั้นตอนและผลลัพธ์ของการทำหัตถการนั้น ๆ
1.8    คำแนะนำอื่น ๆ  ที่ให้แก่ผู้ป่วย ควรระบุหัวข้อและอาจมีเนื้อหาโดยย่อ
2.  ผู้ป่วยแรกรับไว้รักษาในสถานพยาบาล   ให้บันทึกใน F – MED -003 ควรมี
2.1      อาการสำคัญและประวัติการเจ็บป่วยที่สำคัญ  what   when    how   where
2.2      ประวัติการแพ้ยา   สารเคมี หรือสารอื่น ๆ
2.3      ประวัติการเจ็บป่วยในอดีตที่สำคัญ ซึ่งอาจสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการเจ็บป่วยครั้งนี้
2.4      บันทึกสัญญาณชีพ (Vital   signs) BP PR RR ทุกรายที่อายุตั้งแต่ 3 ปี  ส่วนสูงของเด็ก
2.5      ผลการตรวจร่างกายทุกระบบที่สำคัญ
2.6      ปัญหาของผู้ป่วยหรือการวินิจฉัยโรค หรือการแยกโรค
2.7      เหตุผลความจำเป็นในการ  Admit  และแผนการดูแลรักษาผู้ป่วยต่อไป
2.8      ลงนามและวันที่กำกับ
3.  ผู้ป่วยระหว่างนอนพักรักษาในสถานพยาบาล
3.1      บันทึกระบบ SOAP ทุกวันใน 3 วันแรก ต่อไปบันทึกเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงทางคลินิกที่สำคัญเมื่อมีการสั่งการรักษาเพิ่มเติมหรือเปลี่ยนแปลงการรักษา
3.2      การแปลผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ  การตรวจพิเศษต่าง ๆ( เพื่อแสดงว่าการใช้ในการวางแผนการรักษาอย่างไร )
3.3      ในกรณีมีการทำหัตถการ  ควรทำเหมือนข้อ 1.7
3.4      การสั่งการรักษาให้ปฏิบัติตามข้อ 1.6  กรณีสั่งหลังเวลา 13.00 น.หรือสั่ง stat ให้ระบุวัน เวลาที่สั่งทุกครั้ง
3.5      การสั่งจำหน่าย ระบุวันเวลาที่นัดให้ชัดเจน สั่งยากลับบ้านให้เขียนครบทุกรายการ ห้ามเขียนว่า ยาเดิม เว้นแต่จะให้ผู้ป่วยใช้ยาเดิมที่ได้จาก OPD และผู้ป่วยมียาอยู่แล้ว ก็ให้ระบุให้ชัดเจนว่า ยาเดิมOPD วันที่...
4.  เมื่อจำหน่ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาล ให้สรุปใน OPD Card ดังนี้
4.1      การวินิจฉัยโรคขั้นสุดท้าย หรือการแยกโรค
4.2      สรุปผลการตรวจพบและเหตุการณ์สำคัญระหว่างการนอนพักรักษา ตลอดจนการรักษาที่ผู้ป่วยได้รับ
4.3      สรุปการผ่าตัดและหัตถการที่สำคัญ
4.4      ผลลัพธ์จากการรักษา  ภาวะแทรกซ้อน
4.5      สถานภาพผู้ป่วยเมื่อจำหน่าย
4.6      คำแนะนำที่มีแก่ผู้ป่วยหรือญาติ
5.  การสั่งการรักษาและการบันทึกอาการทางคลินิก
5.1      ควรบันทึกด้วยลายมือที่มีลักษณะชัดเจนพอที่ผู้อื่นจะอ่านเข้าใจได้หรือใช้การพิมพ์
5.2      บันทึกวันเวลาที่ดูผู้ป่วยทุกครั้ง   รวมทั้งสิ่งที่ได้อธิบายกับผู้ป่วยและญาติ
5.3      แพทย์ต้องลงนามกำกับท้ายคำสั่งหรือบันทึกทุกครั้ง ในกรณีที่ลายมือชื่ออ่านไม่ชัดเจน ควรมีสัญลักษณ์ซึ่งทีมผู้รักษาสามารถเข้าใจได้ง่าย
5.4      การแก้ไขข้อความในเวชระเบียน  ทำโดยการขีดฆ่าข้อความที่ผิด แล้วเขียนข้อความใหม่ที่ถูกต้องและลงนามผู้แก้ไข  ตลอดจนวันเวลาที่แก้ไข
5.5      การบันทึกต้องเรียงลำดับเหตุการณ์ตามวันเวลา   อย่าบันทึกย้อนหลังเพื่ออธิบายหลังจากมีเหตุไม่พึงประสงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว   อย่างไรก็ตามหากจำเป็น ขอให้บันทึกต่อจากข้อความที่บันทึกไว้หลังสุด  อย่าไปแทรกระหว่างกลางให้สอดคล้องกับเวลาที่เกิดเหตุการณ์  ลงเวลาที่บันทึกจริงและระบุให้ชัดเจนว่าเป็นการบันทึกย้อนหลัง
6.  การสั่งการรักษาพยาบาลด้วยคำพูด หรือทางโทรศัพท์   จะทำได้เฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นรีบด่วน เพื่อความปลอดภัยของผู้ป่วย หรือในกรณีการรักษาที่ไม่ก่อให้เกิดผลร้ายต่อผู้ป่วยทุกครั้งแพทย์ผู้สั่งการรักษาต้องลงนามกำกับท้ายคำสั่ง โดยเร็วที่สุดเท่าที่จำสามารถดำเนินการได้ และอย่างช้าที่สุดไม่ควรเกิน  24  ชั่วโมง
7.  แพทย์ผู้รักษาพึงทำการบันทึกข้อมูลทางคลินิกต่าง ๆให้เสร็จสิ้นโดยรวดเร็วภายหลังเหตุการณ์นั้น  ๆ บันทึกเวชระเบียนควรมีความสมบูรณ์อย่างช้าภายใน  7  วัน หลังจากผู้ป่วยถูกจำหน่าย
8.  หลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคำที่ไม่เหมาะสม หรืออาจเป็นการหมิ่นประมาทผู้ป่วยในบันทึกเวชระเบียน

9.  กรณีเสียชีวิตให้บันทึกในทะเบียนการตาย และพิมพ์เก็บไว้ในเวชระเบียนด้วย

ข้อบังคับแพทยสภาว่า ด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2526 หมวด 1 หลักทั่วไป


      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมดำรงตนให้สมควรในสังคมโดยธรรม และเคารพต่อกฎหมาย ของบ้านเมือง
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมไม่ประพฤติหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมประกอบวิชาชีพด้วยเจตนาดี โดยไม่คำนึงถึงฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม หรือลัทธิการเมือง 
หมวด การโฆษณาการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือยินยอมให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบ วิชาชีพเวชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของตน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้อื่น
      ข้อ 3. การโฆษณาตามหมวด 2 ข้อ 1 และข้อ 2 อาจกระทำได้ในกรณีต่อไปนี้
           (1) การแสดงผลงานในวารสารทางวิชาการหรือในการประชุมวิชาการ
           (2) การแสดงผลงานในหน้าที่ หรือในการบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ
           (3) การแสดงผลงานหรือความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อการศึกษาของมวลชน
           (4) การประกาศเกียรติคุณเป็นทางการโดยสถาบันวิชาการ สมาคม หรือมูลนิธิ
      ทั้งนี้ ต้องละเว้นการแสวงหาประโยชน์ที่จะเกิดต่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรมส่วนบุคคล
      ข้อ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจแสดงข้อความ เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของตน
ที่สำนักงานได้เพียงข้อความเฉพาะเรื่องต่อไปนี้
           (1) ชื่อ นามสกุล และอาจมีคำประกอบชื่อได้เพียงคำว่านายแพทย์หรือแพทย์หญิง อภิไธย ตำแหน่งทางวิชาการ ฐานันดรศักดิ์ ยศ และบรรดาศักดิ์ เท่านั้น
           (2) ชื่อปริญญา วุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติ หรือหนังสือแสดงคุณวุฒิอย่างอื่น ซึ่งตนได้รับ มาโดยวิธีการถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ของแพทยสภาหรือสถาบันนั้น ๆ
           (3) สาขาของวิชาชีพเวชกรรม    (4) เวลาทำการ
      ข้อ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจแจ้งความการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเฉพาะการแสดงที่อยู่ ที่ตั้งสำนักงานหมายเลขโทรศัพท์ และหรือข้อความที่อนุญาตในหมวด 2 ข้อ 4 เท่านั้น
      ข้อ 6. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ทำการเผยแพร่หรือตอบปัญหาทางสื่อมวลชน ถ้าแสดงตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องไม่แจ้งสถานที่ทำการประกอบวิชาชีพส่วนตัวเป็นทำนองการโฆษณา และต้องไม่มีการแจ้งความตามหมวด 2 ข้อ 5 ในที่เดียวกันหรือขณะเดียวกันนั้นด้วย
      ข้อ 7. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องระมัดระวังตามวิสัยที่พึงมี มิให้การประกอบวิชาชีพเวชกรรม ของตนแพร่ออกไปในสื่อมวลชนเป็นทำนองโฆษณาความรู้ความสามารถ
 หมวด 3
การประกอบวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับที่ดีที่สุด และพยายามให้ผู้ป่วยพ้นจากอาการทรมานจากโรค และความพิการต่าง ๆ โดยไม่เรียกร้องสินจ้าง รางวัลพิเศษนอกเหนือจากค่าบริการที่ควรได้รับตามปกติ
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่จูงใจหรือชักชวนผู้ป่วยให้มารับบริการทางวิชาชีพเวชกรรม เพื่อผลประโยชน์ของตน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ให้ หรือรับผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทน เนื่องจากการรับ หรือส่งผู้ป่วย
เพื่อรับบริการทางวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยโดยสุภาพและปราศจากการบังคับขู่เข็ญ
      ข้อ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่หลอกลวงผู้ป่วยให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน
      ข้อ 6. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ประกอบวิชาชีพโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และความสิ้นเปลืองของผู้ป่วย
      ข้อ 7. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่สั่ง ใช้ หรือสนับสนุนการใช้ยาตำรับลับ รวมทั้งใช้อุปกรณ์การแพทย์อันไม่เปิดเผยส่วนประกอบ
      ข้อ 8. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ออกใบรับรองอันเป็นความเท็จโดยตั้งใจ หรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวกับวิชาชีพของตน
      ข้อ 9. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วย ซึ่งตนทราบมาเนื่องจากการ ประกอบวิชาชีพ
เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วย หรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือตามหน้าที่
      ข้อ 10. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือ ผู้ที่อยู่ในระยะอันตรายจากการเจ็บป่วย เมื่อได้รับคำขอร้อง และตนอยู่ในฐานะที่จะช่วยได้
      ข้อ 11. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ใช้ หรือสนับสนุนให้มีการประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือการประกอบโรคศิลปะโดยผิดกฎหมาย
หมวด 4
การปฏิบัติต่อผู้ร่วมวิชาชีพ 
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงยกย่องให้เกียรติเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ทับถมให้ร้ายหรือกลั่นแกล้งกัน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ชักจูงผู้ป่วยของผู้อื่นมาเป็นของตน 
หมวด 5
การปฏิบัติต่อผู้ร่วมงาน 
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงยกย่องให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ร่วมงาน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ทับถมให้ร้าย หรือกลั่นแกล้งผู้ร่วมงาน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบวิชาชีพของผู้ร่วมงาน
 หมวด 6
การทดลองในมนุษย์ 

      

ข้อบังคับแพทยสภาว่า ด้วยการรักษาจริยธรรมแห่งวิชาชีพเวชกรรม พ.ศ. 2526 หมวด 1 หลักทั่วไป


      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมดำรงตนให้สมควรในสังคมโดยธรรม และเคารพต่อกฎหมาย ของบ้านเมือง
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมไม่ประพฤติหรือกระทำการใด ๆ อันอาจเป็นเหตุให้เสื่อมเสียเกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมย่อมประกอบวิชาชีพด้วยเจตนาดี โดยไม่คำนึงถึงฐานะ เชื้อชาติ สัญชาติ ศาสนา สังคม หรือลัทธิการเมือง 
หมวด การโฆษณาการประกอบวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือยินยอมให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบ วิชาชีพเวชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของตน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่โฆษณา ใช้ จ้าง หรือให้ผู้อื่นโฆษณาการประกอบวิชาชีพเวชกรรม ความรู้ความชำนาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของผู้อื่น
      ข้อ 3. การโฆษณาตามหมวด 2 ข้อ 1 และข้อ 2 อาจกระทำได้ในกรณีต่อไปนี้
           (1) การแสดงผลงานในวารสารทางวิชาการหรือในการประชุมวิชาการ
           (2) การแสดงผลงานในหน้าที่ หรือในการบำเพ็ญประโยชน์สาธารณะ
           (3) การแสดงผลงานหรือความก้าวหน้าทางวิชาการเพื่อการศึกษาของมวลชน
           (4) การประกาศเกียรติคุณเป็นทางการโดยสถาบันวิชาการ สมาคม หรือมูลนิธิ
      ทั้งนี้ ต้องละเว้นการแสวงหาประโยชน์ที่จะเกิดต่อการประกอบวิชาชีพเวชกรรมส่วนบุคคล
      ข้อ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจแสดงข้อความ เกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพเวชกรรมของตน
ที่สำนักงานได้เพียงข้อความเฉพาะเรื่องต่อไปนี้
           (1) ชื่อ นามสกุล และอาจมีคำประกอบชื่อได้เพียงคำว่านายแพทย์หรือแพทย์หญิง อภิไธย ตำแหน่งทางวิชาการ ฐานันดรศักดิ์ ยศ และบรรดาศักดิ์ เท่านั้น
           (2) ชื่อปริญญา วุฒิบัตรหรือหนังสืออนุมัติ หรือหนังสือแสดงคุณวุฒิอย่างอื่น ซึ่งตนได้รับ มาโดยวิธีการถูกต้องตามกฎเกณฑ์ ของแพทยสภาหรือสถาบันนั้น ๆ
           (3) สาขาของวิชาชีพเวชกรรม    (4) เวลาทำการ
      ข้อ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมอาจแจ้งความการประกอบวิชาชีพเวชกรรมเฉพาะการแสดงที่อยู่ ที่ตั้งสำนักงานหมายเลขโทรศัพท์ และหรือข้อความที่อนุญาตในหมวด 2 ข้อ 4 เท่านั้น
      ข้อ 6. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมผู้ทำการเผยแพร่หรือตอบปัญหาทางสื่อมวลชน ถ้าแสดงตนว่าเป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องไม่แจ้งสถานที่ทำการประกอบวิชาชีพส่วนตัวเป็นทำนองการโฆษณา และต้องไม่มีการแจ้งความตามหมวด 2 ข้อ 5 ในที่เดียวกันหรือขณะเดียวกันนั้นด้วย
      ข้อ 7. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องระมัดระวังตามวิสัยที่พึงมี มิให้การประกอบวิชาชีพเวชกรรม ของตนแพร่ออกไปในสื่อมวลชนเป็นทำนองโฆษณาความรู้ความสามารถ
 หมวด 3
การประกอบวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องรักษามาตรฐานของการประกอบวิชาชีพเวชกรรมในระดับที่ดีที่สุด และพยายามให้ผู้ป่วยพ้นจากอาการทรมานจากโรค และความพิการต่าง ๆ โดยไม่เรียกร้องสินจ้าง รางวัลพิเศษนอกเหนือจากค่าบริการที่ควรได้รับตามปกติ
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่จูงใจหรือชักชวนผู้ป่วยให้มารับบริการทางวิชาชีพเวชกรรม เพื่อผลประโยชน์ของตน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ให้ หรือรับผลประโยชน์เป็นค่าตอบแทน เนื่องจากการรับ หรือส่งผู้ป่วย
เพื่อรับบริการทางวิชาชีพเวชกรรม
      ข้อ 4. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยโดยสุภาพและปราศจากการบังคับขู่เข็ญ
      ข้อ 5. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่หลอกลวงผู้ป่วยให้หลงเข้าใจผิดเพื่อประโยชน์ของตน
      ข้อ 6. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ประกอบวิชาชีพโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัย และความสิ้นเปลืองของผู้ป่วย
      ข้อ 7. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่สั่ง ใช้ หรือสนับสนุนการใช้ยาตำรับลับ รวมทั้งใช้อุปกรณ์การแพทย์อันไม่เปิดเผยส่วนประกอบ
      ข้อ 8. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ออกใบรับรองอันเป็นความเท็จโดยตั้งใจ หรือให้ความเห็นโดยไม่สุจริตในเรื่องใด ๆ อันเกี่ยวกับวิชาชีพของตน
      ข้อ 9. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่เปิดเผยความลับของผู้ป่วย ซึ่งตนทราบมาเนื่องจากการ ประกอบวิชาชีพ
เว้นแต่ด้วยความยินยอมของผู้ป่วย หรือเมื่อต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือตามหน้าที่
      ข้อ 10. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ต้องไม่ปฏิเสธการช่วยเหลือ ผู้ที่อยู่ในระยะอันตรายจากการเจ็บป่วย เมื่อได้รับคำขอร้อง และตนอยู่ในฐานะที่จะช่วยได้
      ข้อ 11. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ใช้ หรือสนับสนุนให้มีการประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือการประกอบโรคศิลปะโดยผิดกฎหมาย
หมวด 4
การปฏิบัติต่อผู้ร่วมวิชาชีพ 
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงยกย่องให้เกียรติเคารพในศักดิ์ศรีซึ่งกันและกัน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ทับถมให้ร้ายหรือกลั่นแกล้งกัน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ชักจูงผู้ป่วยของผู้อื่นมาเป็นของตน 
หมวด 5
การปฏิบัติต่อผู้ร่วมงาน 
      ข้อ 1. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงยกย่องให้เกียรติและเคารพในศักดิ์ศรีของผู้ร่วมงาน
      ข้อ 2. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมต้องไม่ทับถมให้ร้าย หรือกลั่นแกล้งผู้ร่วมงาน
      ข้อ 3. ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมพึงส่งเสริมและสนับสนุนการประกอบวิชาชีพของผู้ร่วมงาน
 หมวด 6
การทดลองในมนุษย์